โดย Erastale ShadowServant
ชื่อหนังสือ : "กลลวงเทพจิ้งจอก" TENTEIYOUKO
ผู้แต่ง : โอตสึ อิจิ
สำนวนแปลของ : พรพิรุณ กิจสมเจตน์
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตมาในยุคสมัยที่ 'ความเหงา' กลายเป็นทั้งแฟชั่นและสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา อาจเพราะมันเป็นยุคสมัยที่ศิลปะนอกกระแสเริ่มบูม หรืออย่างที่นักวิชาการนักกิจกรรมบางสายมักจะชอบอธิบายว่า "มันมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมจนทำให้คนกลายเป็
เปิดตัวมาอย่างเผ็ดร้อนไปเสียหน่อย เผอิญว่ามันเป็นตะกอนในจิตใจที่ผมลบมันเท่าไหร่ก็ลบมันไม่ออก นั่นล่ะตะกอนมืดๆ ที่ฝังลึกพร้อมที่จะทะยานออกไปทำร้ายคนที่มาสะกิดมันอยู่ตลอดเวลา อีกนัยหนึ่งมันก็ทำให้ผมแข็งแกร่ง เหมือนกับร่างสุนัขจิ้งจอกของ ยางิ ตัวเอกใน "กลลวงเทพจิ้งจอก"
ทำไมผมถึงต้องพูดถึง 'ความเหงา' ล่ะครับ ถามคนที่อยู่รุ่นราวคราวเดียวหรือแก่กว่าผมสักนิดดูได้ ว่าพอพูดถึง 'ควมเหงา' แล้ว เขาจะคิดถึงอะไรล่ะ! หว่อง กา ไว แน่นอนที่สุด รองลงมาล่ะ... ฮารูกิ มูราคามิ รายนี้อาจไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับความเหงาตรงไปตรงมานักแต่โดยส่วนตัวผมก็เคยสัมผัสกับงานเขียนของ 2 คนนี้อยู่เหมือนกัน เคยเพ้อพกไปกับ หว่อง กา ไว อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ไม่ค่อยอินกับมูราคามิเท่าไหร่
มีนักชุมชนนิยมบางคนเกลียดกลัว 'ความเหงา' แบบนี้ราวกับมันเป็นปีศาจร้าย คิดว่าคนที่อยู่กับความเหงาแบบนี้ถูกล้างสมองจนกลายเป็นปัจเจกนิยม (สิ่งที่พวกเขาเกลียดมาก ทำให้มันกลายเป็นตัวร้ายอยู่เสมอ) ไปแล้ว พยายามเข้ามา 'บำบัด' พวกเขา ชี้ทางสว่างราวกับตนเป็นผู้มาโปรดสัตว์ ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้เลยว่า 'ความเหงา' ในยุคของ หว่อง กา ไว บูมนั้น มันเป็นส่วนผสมที่แยกไม่ออกระหว่างแฟชั่นกับสุนทรียะ
ใครบางคนบูชาความเหงาในแง่ของความเป็น 'คนนอก' หรือความเป็น 'ผู้แปลกแยก' จนทำให้ความเหงากลายเป็นเรื่องเท่ กลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกความมีตัวตนของตนเอง ขณะเดียวกันงานวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ที่พูดถึงความเหงาอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาออกจะเมินเฉย หรือบางครั้งก็ดูแดลนมันด้วยซ้ำ
ทั้งที่โดยส่วนตัวผมแล้วเรื่องแบบนี้มันเป็นสิ่งที่แฝงฝังอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม... หญิงสาวโรงงานอาจเหงาเพราะฟังเพลงลูกทุ่งในกระแสบางเพลงที่ทำให้พวกเขาคิดถึงบ้าน ความเหงาตรงไปตรงมาแบบนี้สมควรได้รับรู้ถึงการมีอยู่เช่นกัน
โอตสึ อิจิ เป็นนามปากกาของนักเขียนร่วมสมัยของญี่ปุ่นผู้มีอิทธิพลกับผมคนหนึ่ง ในช่วงแรกๆ ผมรู้จักเขาในด้านของคนที่เขียนเรื่องแนวเขย่าขวัญ แนวที่ผมชอบ จนกระทั่งต่อมางานเขียนของเขาเริ่มเน้นเข้าไปสำรวจมนุษย์ในด้านเศร้าๆ เหงาๆ มากขึ้น (โดยยังไม่ทิ้งรสชาติของเรื่องเขย่าขวัญไป) จนถึงขั้นมีคนเรียกเขาว่าเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านความเศร้า" เลยทีเดียว
อาจจะเป็นฉายาที่เกินจริงไปเสียหน่อย แต่ผมก็เห็นด้วยว่า แม้ความเหงากับความเศร้าของเขาจะตรงไปตรงมาเกินกว่าผู้นิยมความเหงานอกกระแสจะชื่นชอบ แต่สิ่งที่มีอยู่ในงานของโอตสิ อิจิ ที่ทำให้ผมชอบคือสิ่งที่เรียกว่า Human Sentiment มันออกจะแปลเป็นไทยให้ตรงความรู้สึกยากไปสักหน่อย คำที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น "อารมณ์ร่วมของมนุษย์ปุถุชน" นั่นหมายความว่าต่อให้คุณเป็นพนักงานกินเงินเดือน เป็นศิลปินที่ทำงานอิสระ หรือเป็นนักเรียน นักศึกษา คุณก็จะสามารถรู้สึก 'สะเทือนใจ' ไปกับตัวละครในเรื่องของเขาได้
งานเขียนชิ้นหลังๆ ของโอตสิ อิจิ ที่ผมได้สัมผัสอย่าง "โทรศัพท์สลับมิติ" "คลื่นถี่ความเหงา" จนถึงเรื่อง "กลลวงเทพจิ้งจอก" เต็มไปด้วยตัวละครที่มีความเหงา เศร้า แปลกแยกจากสังคม แต่ตัวละครของโอตสึ อิจิ ไม่ได้เหงาแล้วเท่ ไม่ได้พยายามจะทำตัวโดดเดี่ยวเพื่อประกาศตัวตน ในหลายๆ เรื่องตัวละครของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนในการที่จะเอื้อมมือเข้าหาสังคมด้วยซ้ำ แต่เป็นสังคมอันแสนจอมปลอมนั้นต่างหากที่ปฏิเสธพวกเขาเสียเอง หรือไม่ก็มีเหตุบางอย่างที่ทำให้พวกเขาจำต้องปลีกตัวออกมาด้วยความรู้สึกไม่อาจปรับตัวเข้ากันได้ เช่น ตัวละคร ยางิ และ เคียวโกะ ในเรื่อง "กลลวงเทพจิ้งจอก"
"พวกเพื่อนเคยเอ่ยถึงครูคนหนึ่งอย่างขบขัน วิจารณ์รูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทางซึ่งแกทำเป็นนิสัย แต่เคียวโกะกลับไม่สนุกด้วยสักนิด ยิ่งเห็นเพื่อน ๆ เอาความผิดพลาดของใครสักคนมาพูดลับหลัง เธอยิ่งไม่มีแก่ใจร่วมวงเยาะเย้ย เด็กสาวมักรู้สึกกระอักกระอ่วนประหนึ่งถูกบังคับให้กลืนก้อนแข็งจนนึกอยากหนีไปให้พ้น ในที่สุดเคียวโกะเริ่มพูดน้อยลงและนิ่งฟังอยู่ฝ่ายเดียว"
- "กลลวงเทพจิ้งจอก" หน้า 82
ในหนังสือกลลวงเทพจิ้งจอกที่ผมนำมาพูดถึงในคราวนี้แบ่งเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ "A Masked Ball การปรากฏตัวและการหายไปของสิงห์อมควัน" ซึ่งเป็นเรื่องระทึกขวัญที่มีโทนตลกโปกฮาแบบวัยรุ่นหน่อย ตัวเอกไม่ได้ถึงขั้นเหงาหรือแปลกแยกอะไร เขาแค่มีงานอดิเรกลับๆ คือการหลบไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำที่ไม่ค่อยมีคนเข้า จนกระทั่งวันหนึ่งมีข้อความแปลกปลอมโผล่ขึ้นมาบนผนังห้องน้ำ และมีการเขียนโต้ตอบกันบนผนังห้องน้ำโดยไม่มีใครเห็นหน้าใคร ราวกับมันเป็นกระดานข่าวหรือโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้ตัวเอกรู้ว่าไม่ได้มีเขาคนเดียวที่เข้าห้องน้ำห้องนี้ เรื่องราวสนุกสนานค่อยๆ เดินเรื่องสู่โทนที่น่ากลัวและระทึกขวัญมากขึ้นเรื่อยๆ
บางคนอาจจะคิดว่าเรื่อง A Marked Ball นี้จบแบบงงๆ ไปหน่อย แต่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันปิดเรื่องได้ดูลึกลับและชวนให้อมยิ้มไปพร้อมๆ กัน เหมือนได้ฟังเพื่อนที่สนิทกันเล่าประสบการณ์แปลกๆ ที่ไม่มีใครเชื่อให้ฟัง
เรื่องที่สองคือ "กลลวงเทพจิ้งจอก" พล็อตหลักๆ ของเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่อะไรมาก กลวิธีการเล่าที่สลับมุมมองตัวเอกหญิงชาย 2 คนก็มีคนทำมาแล้วมากมาย แต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์และตราตรึงใจผู้อ่านได้ดี แน่นอนล่ะครับ เรื่องของคนเหงาที่รู้สึกแปลกแยก 2 คนได้มาพบกันเป็นโรมานซ์ที่ดีได้เสมอไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เพราะมันคือ Human Sentiment ไงล่ะครับ
เรื่องราวเริ่มมาจากการพบเจอกันของเคียวโกะ เด็กสาววัยเรียนผู้มักจะชอบกลับบ้านเร็วเพราะอยากไปช่วยยายทำงาน ทำให้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อน กับยางิ บุคคลลึกลับที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลคลุมร่าง มีเงาดำทะมึนมืดติดอยู่กับตัวเขาตลอดเวลาจนไปที่ไหนก็มีคนรังเกียจ หวาดกลัว มีเพียงผู้ได้คุยกับเขาจริงๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่าตัวเขาไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่บังเอิญถูกสาป
ในที่สุดเคียวโกะ ก็ตัดสินใจให้ยางิพักอยู่บ้านด้วยชั่วคราว เด็กสาวผู้รู้สึกแปลกแยกจากสังคมกับชายผู้ที่ถูกมองว่าเป็นปีศาจร้าย มิตรภาพง่ายๆ และงดงามเกินขึ้นภายในบ้านแบ่งเช่าแคบๆ
"เธอชวนยางิคุยบ้าง แต่แทบจะเป็นการถามคำตอบมากกว่า ดูท่าชายหนุ่มไม่ถนัดพูดตลกหรือสร้างเสียงหัวเราะให้คู่สนทนา ทว่าวิธีการพูดจาพาซื่อไร้เสแสร้งมารยา กลับทำให้เคียวโกะผ่อนคลาย ไม่ตื่นเกร็งเหมือนเวลาต้องร่วมวงสนทนากับพวกอาคิยามะ"
- "กลลวงเทพจิ้งจอก" หน้า 117
ยางิอาศัยอยู่จนกระทั่งเขารู้สึกว่าควรจะได้ทำงานตอบแทน อย่างน้อยก็ได้จ่ายค่าเช่าในฐานะผู้พักอาศัยในบ้านเดียวกับเธอบ้าง แต่การที่ยางิต้องซ่อนด้านที่น่ารังเกียจของตนไว้ในผ้าพันแผลตลอดเวลาทำให้เขาหางานทำลำบาก โดยเฉพาะงานที่ต้องพบปะติดต่อกับผู้คน เคียวโกะจึงคิดจะฝากให้ยางิไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มี อาคิยามะ เพื่อนพี่ชายเขาที่เป็นลูกชายเจ้าของโรงงาน
ยางิ ได้ทำงานจุกจิกต่างๆ ในโรงงานไม่ว่าจะเป็น ปัดกวาดเช็ดถู เคลื่อนย้ายของหนัก ถอดล้างชิ้นส่วนเครื่องจักร ฯลฯ มีความคิดของยางิในย่อหน้าหนึ่งของหนังสือที่น่าสนใจมาก
"ช่วงแรกผมสนุกกับงานมาก การได้รวมกลุ่มกับคนงานจำนวนมหาศาล ชวนให้รู้สึกคล้ายร่างกายเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ไม่มีปัจเจกแห่งตน ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียกขาน หากเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา คงไม่มีใครปรารถนาจะลิ้มรสความรู้สึกเปล่าดายไร้ตัวตนเช่นนี้ ทว่าผมกลับสัมผัสได้ถึงความสงบร่มเย็น ขอเพียงได้กลืนไปกับคนหมู่มาก ผมก็พึงพอใจเหลือเกินแล้ว"
- กลลวงเทพจิ้งจอก (จำไม่ได้แล้วว่าหน้าอะไร)
ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของยางินัก (ผมเป็นปัจเจกนิยมนั่นแหละครับ) แต่อย่างน้อยผมก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดคนอย่างยางิถึงรู้สึกเช่นนี้ เขาบอกว่าเขารู้สึกมีความสุขกับการทำงาน กับการได้กลืนตัวเองเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับฟันเฟืองขนาดใหญ่ การที่มีเพื่อนร่วมงานชื่นชมเขาเวลาทำงานหนัก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากหุบเหวของความสิ้นหวัง ได้รับ "ชีวิตธรรมดาสามัญ" กลับคืนมา
แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเศร้า เรื่องราวที่ดูเหมือนกำลังจะดำเนินไปด้วยดี กลับมีบางอย่างมาทำให้ภาพฝันพังทลายลง ทำให้เคียวโกะ และยางิ ต้องเหินห่างจากกัน จนกระทั่งถึงตอนจบที่ชวนบีบคั้นหัวใจ
หนังสือ "กลลวงเทพจิ้งจอก" รวมเรื่อง 2 โทนไว้ด้วยกันคือเรื่องแรกที่ออกโทนตลก กับเรื่องหลังที่ออกโทนเศร้าสะเทือนใจ ทำให้เหมือนได้ทานอาหารที่รสชาติตัดกัน แม้จะชอบทั้ง 2 เป็นการส่วนตัว แต่ก็คิดว่าเรื่องในชุด "คลื่นถี่ความเหงา" อ่านสนุกและสะกดอารมณ์มากกว่าอยู่ดี
เรื่องราวเหงาๆ เศร้าๆ ของโอตสิ อิจิ ไม่เท่ ไม่แนว แต่มันน่าประทับใจและชวนให้รู้สึกเข้าถึงมันจริงๆ มากกว่าความเหงาประดิษฐ์ในยุคสมัยที่ทุกอย่างต้องเท่หลายเท่าตัวนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น