หน้าเว็บ

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

[NEWS] เปิดรับสมัครผู้สนใจเรียนรู้ร่วมกันในโครงการ "Creative Sharing Workshop"

[NEWS] เปิดรับสมัครผู้สนใจเรียนรู้ร่วมกันในโครงการ "Creative Sharing Workshop"



31st Century Museum of Contemporary Spirit เปิดรับสมัครผู้สนใจเรียนรู้ร่วมกันใน Creative Sharing Workshop โครงการศิลปะเบื้องต้นสำหรับใครก็ได้ ที่มีเพียงความสนใจ วินัยและเวลาเป็นค่าใช้จ่าย เชิญผู้สนใจลงชื่อสมัครทางอีเมลล์ พร้อมระบุกิจกรรมที่ต้องการเข้าร่วมรับจำนวนจำกัด และจำกัดอายุขั้นต่ำในบางโครงการ โดยมีคอร์สอบรมศิลปะเบื้องต้น ดังนี้

1. สมุดทำมือ Handmade Notebook
เรียนรู้วิธีการทำสมุดจากฝีมือของเราเอง
วันเสาร์ 09:00 - 12:00

2 กรกฏาคม

2. พื้นฐานการวาดภาพ Creative Drawing
เรียนรู้การวาดเส้นพื้นฐานเพื่องานสร้างสรรค์
ทุกวันเสาร์ 09:00 - 12:00
9 - 30 กรกฏาคม


3. Ukulele พาเพลิน
เรียนรู้การเล่นอุกุเลเล่เพื่อความเพลิดเพลิน
จันทร - ศุกร์ 17:00 - 19:00
เสาร์ - อาทิตย์ 14:00 - 16:00
25 - 31 กรกฏาคม


4. ภาพประกอบแสนสนุก Illustration
เรียนรู้การวาดภาพประกอบสื่องานเขียน
ทุกวันเสาร์ 09:00 - 12:00
6 -27 สิงหาคม


5. ศิลปะการแสดง Art Performance
รู้จักตัวเองผ่านกระบวนการละคร
เวลา 13:00 - 16:00
9 สิงหาคม และ 6 กรกฎาคม โดย โซโนโกะ พราว
กิจกรรมสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการศิลปะการแสดง
10 สิงหาคม และ 7 กรกฎาคม โดยแชลเล่ ฮัลสตีด


6. พื้นฐานการทำเซรามิก Ceramic (for beginer)
เรียนรู้วิธีการทำเซรามิกขั้นพื้นฐาน
ทุกวันเสาร์ 13:00 - 17:00
3 - 24 กันยายน


7. จัดดอกไม้
เรียนรู้ความงามและธรรมชาติผ่านการจัดดอกไม้
ทุกวันเสาร์ 13:00 - 16:00
1 - 15 ตุลาคม


8. จะเล่าให้คุณฟัง
เขียนหนังสือใครก็เขียนได้ แต่จะเล่าเรื่องอย่างไรให้สนุก
ทุกวันพุธเว้นพุธ 14:00 - 16:00
5 ,19 ตุลาคม และ 2,16 พฤศจิกายน


9. ภาพยนตร์สั้น Short Film
เรียนรู้การทำภาพยนตร์ขนาดสั้น
ทุกวันเสาร์ 13:00 - 16:00
22 ตุลาคม - 15 พฤศจิกายน


10. จะพิมพ์เป็น... Basic Printing
เรียนรู้การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในรูปแบบภาพพิมพ์
ทุกวันอาทิตย์ 09:00 - 12:00
27 พฤศจิกายน - 11 ธันวาคม


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
พิพิธภัณฑ์จิตวิญญาณร่วมสมัยศตวรรษที่ 31 (สถานี)
100/6 หมู่ 10 ซอยวัดอุโมงค์ 11 ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
โทรศัพท์ 053-811555
E-mail; spirit@31century.org
http://31century.org/
http://www.facebook.com/31century

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"กลลวงเทพจิ้งจอก" ขอเศร้าและเหงาอย่างตรงไปตรงมา

[BOOK] "กลลวงเทพจิ้งจอก" ขอเศร้าและเหงาอย่างตรงไปตรงมา

โดย Erastale ShadowServant

ชื่อหนังสือ : "กลลวงเทพจิ้งจอก" TENTEIYOUKO
ผู้แต่ง : โอตสึ อิจิ
สำนวนแปลของ : พรพิรุณ กิจสมเจตน์




ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เกิดและเติบโตมาในยุคสมัยที่ 'ความเหงา' กลายเป็นทั้งแฟชั่นและสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา อาจเพราะมันเป็นยุคสมัยที่ศิลปะนอกกระแสเริ่มบูม หรืออย่างที่นักวิชาการนักกิจกรรมบางสายมักจะชอบอธิบายว่า "มันมาจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมจนทำให้คนกลายเป็นปัจเจกนิยม" หรือคำสวยหรูฟังดูฉลาดแต่กลวงโบ๋อื่นๆ (ผมรู้สึก Skeptic กับแนวคิดความเป็น 'ชุมชน' เพราะมีคนเอาแนวคิดนี้มาปู้ยี้ปู้ยำจนกลายเป็นแค่ชุมชน "กูเป็นใหญ่" เท่านั้น)

เปิดตัวมาอย่างเผ็ดร้อนไปเสียหน่อย เผอิญว่ามันเป็นตะกอนในจิตใจที่ผมลบมันเท่าไหร่ก็ลบมันไม่ออก นั่นล่ะตะกอนมืดๆ ที่ฝังลึกพร้อมที่จะทะยานออกไปทำร้ายคนที่มาสะกิดมันอยู่ตลอดเวลา อีกนัยหนึ่งมันก็ทำให้ผมแข็งแกร่ง เหมือนกับร่างสุนัขจิ้งจอกของ ยางิ ตัวเอกใน "กลลวงเทพจิ้งจอก"

ทำไมผมถึงต้องพูดถึง 'ความเหงา' ล่ะครับ ถามคนที่อยู่รุ่นราวคราวเดียวหรือแก่กว่าผมสักนิดดูได้ ว่าพอพูดถึง 'ควมเหงา' แล้ว เขาจะคิดถึงอะไรล่ะ! หว่อง กา ไว แน่นอนที่สุด รองลงมาล่ะ... ฮารูกิ มูราคามิ รายนี้อาจไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับความเหงาตรงไปตรงมานักแต่โดยส่วนตัวผมก็เคยสัมผัสกับงานเขียนของ 2 คนนี้อยู่เหมือนกัน เคยเพ้อพกไปกับ หว่อง กา ไว อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ไม่ค่อยอินกับมูราคามิเท่าไหร่

มีนักชุมชนนิยมบางคนเกลียดกลัว 'ความเหงา' แบบนี้ราวกับมันเป็นปีศาจร้าย คิดว่าคนที่อยู่กับความเหงาแบบนี้ถูกล้างสมองจนกลายเป็นปัจเจกนิยม (สิ่งที่พวกเขาเกลียดมาก ทำให้มันกลายเป็นตัวร้ายอยู่เสมอ) ไปแล้ว พยายามเข้ามา 'บำบัด' พวกเขา ชี้ทางสว่างราวกับตนเป็นผู้มาโปรดสัตว์ ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้เลยว่า 'ความเหงา' ในยุคของ หว่อง กา ไว บูมนั้น มันเป็นส่วนผสมที่แยกไม่ออกระหว่างแฟชั่นกับสุนทรียะ

ใครบางคนบูชาความเหงาในแง่ของความเป็น 'คนนอก' หรือความเป็น 'ผู้แปลกแยก' จนทำให้ความเหงากลายเป็นเรื่องเท่ กลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกความมีตัวตนของตนเอง ขณะเดียวกันงานวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ที่พูดถึงความเหงาอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาออกจะเมินเฉย หรือบางครั้งก็ดูแดลนมันด้วยซ้ำ

ทั้งที่โดยส่วนตัวผมแล้วเรื่องแบบนี้มันเป็นสิ่งที่แฝงฝังอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม... หญิงสาวโรงงานอาจเหงาเพราะฟังเพลงลูกทุ่งในกระแสบางเพลงที่ทำให้พวกเขาคิดถึงบ้าน ความเหงาตรงไปตรงมาแบบนี้สมควรได้รับรู้ถึงการมีอยู่เช่นกัน

โอตสึ อิจิ เป็นนามปากกาของนักเขียนร่วมสมัยของญี่ปุ่นผู้มีอิทธิพลกับผมคนหนึ่ง ในช่วงแรกๆ ผมรู้จักเขาในด้านของคนที่เขียนเรื่องแนวเขย่าขวัญ แนวที่ผมชอบ จนกระทั่งต่อมางานเขียนของเขาเริ่มเน้นเข้าไปสำรวจมนุษย์ในด้านเศร้าๆ เหงาๆ มากขึ้น (โดยยังไม่ทิ้งรสชาติของเรื่องเขย่าขวัญไป) จนถึงขั้นมีคนเรียกเขาว่าเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านความเศร้า" เลยทีเดียว

อาจจะเป็นฉายาที่เกินจริงไปเสียหน่อย แต่ผมก็เห็นด้วยว่า แม้ความเหงากับความเศร้าของเขาจะตรงไปตรงมาเกินกว่าผู้นิยมความเหงานอกกระแสจะชื่นชอบ แต่สิ่งที่มีอยู่ในงานของโอตสิ อิจิ ที่ทำให้ผมชอบคือสิ่งที่เรียกว่า Human Sentiment มันออกจะแปลเป็นไทยให้ตรงความรู้สึกยากไปสักหน่อย คำที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น "อารมณ์ร่วมของมนุษย์ปุถุชน" นั่นหมายความว่าต่อให้คุณเป็นพนักงานกินเงินเดือน เป็นศิลปินที่ทำงานอิสระ หรือเป็นนักเรียน นักศึกษา คุณก็จะสามารถรู้สึก 'สะเทือนใจ' ไปกับตัวละครในเรื่องของเขาได้

งานเขียนชิ้นหลังๆ ของโอตสิ อิจิ ที่ผมได้สัมผัสอย่าง "โทรศัพท์สลับมิติ" "คลื่นถี่ความเหงา" จนถึงเรื่อง "กลลวงเทพจิ้งจอก" เต็มไปด้วยตัวละครที่มีความเหงา เศร้า แปลกแยกจากสังคม แต่ตัวละครของโอตสึ อิจิ ไม่ได้เหงาแล้วเท่ ไม่ได้พยายามจะทำตัวโดดเดี่ยวเพื่อประกาศตัวตน ในหลายๆ เรื่องตัวละครของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนในการที่จะเอื้อมมือเข้าหาสังคมด้วยซ้ำ แต่เป็นสังคมอันแสนจอมปลอมนั้นต่างหากที่ปฏิเสธพวกเขาเสียเอง หรือไม่ก็มีเหตุบางอย่างที่ทำให้พวกเขาจำต้องปลีกตัวออกมาด้วยความรู้สึกไม่อาจปรับตัวเข้ากันได้ เช่น ตัวละคร ยางิ และ เคียวโกะ ในเรื่อง "กลลวงเทพจิ้งจอก"

"พวกเพื่อนเคยเอ่ยถึงครูคนหนึ่งอย่างขบขัน วิจารณ์รูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทางซึ่งแกทำเป็นนิสัย แต่เคียวโกะกลับไม่สนุกด้วยสักนิด ยิ่งเห็นเพื่อน ๆ เอาความผิดพลาดของใครสักคนมาพูดลับหลัง เธอยิ่งไม่มีแก่ใจร่วมวงเยาะเย้ย เด็กสาวมักรู้สึกกระอักกระอ่วนประหนึ่งถูกบังคับให้กลืนก้อนแข็งจนนึกอยากหนีไปให้พ้น ในที่สุดเคียวโกะเริ่มพูดน้อยลงและนิ่งฟังอยู่ฝ่ายเดียว"

- "กลลวงเทพจิ้งจอก" หน้า 82

ในหนังสือกลลวงเทพจิ้งจอกที่ผมนำมาพูดถึงในคราวนี้แบ่งเป็นเรื่องสั้นขนาดยาว 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ "A Masked Ball การปรากฏตัวและการหายไปของสิงห์อมควัน" ซึ่งเป็นเรื่องระทึกขวัญที่มีโทนตลกโปกฮาแบบวัยรุ่นหน่อย ตัวเอกไม่ได้ถึงขั้นเหงาหรือแปลกแยกอะไร เขาแค่มีงานอดิเรกลับๆ คือการหลบไปสูบบุหรี่ในห้องน้ำที่ไม่ค่อยมีคนเข้า จนกระทั่งวันหนึ่งมีข้อความแปลกปลอมโผล่ขึ้นมาบนผนังห้องน้ำ และมีการเขียนโต้ตอบกันบนผนังห้องน้ำโดยไม่มีใครเห็นหน้าใคร ราวกับมันเป็นกระดานข่าวหรือโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ไม่ต้องใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต ทำให้ตัวเอกรู้ว่าไม่ได้มีเขาคนเดียวที่เข้าห้องน้ำห้องนี้ เรื่องราวสนุกสนานค่อยๆ เดินเรื่องสู่โทนที่น่ากลัวและระทึกขวัญมากขึ้นเรื่อยๆ

บางคนอาจจะคิดว่าเรื่อง A Marked Ball นี้จบแบบงงๆ ไปหน่อย แต่โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันปิดเรื่องได้ดูลึกลับและชวนให้อมยิ้มไปพร้อมๆ กัน เหมือนได้ฟังเพื่อนที่สนิทกันเล่าประสบการณ์แปลกๆ ที่ไม่มีใครเชื่อให้ฟัง

เรื่องที่สองคือ "กลลวงเทพจิ้งจอก" พล็อตหลักๆ ของเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่อะไรมาก กลวิธีการเล่าที่สลับมุมมองตัวเอกหญิงชาย 2 คนก็มีคนทำมาแล้วมากมาย แต่ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่มีเสน่ห์และตราตรึงใจผู้อ่านได้ดี แน่นอนล่ะครับ เรื่องของคนเหงาที่รู้สึกแปลกแยก 2 คนได้มาพบกันเป็นโรมานซ์ที่ดีได้เสมอไม่ว่าจะยุคสมัยไหน เพราะมันคือ Human Sentiment ไงล่ะครับ

เรื่องราวเริ่มมาจากการพบเจอกันของเคียวโกะ เด็กสาววัยเรียนผู้มักจะชอบกลับบ้านเร็วเพราะอยากไปช่วยยายทำงาน ทำให้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับเพื่อน กับยางิ บุคคลลึกลับที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลคลุมร่าง มีเงาดำทะมึนมืดติดอยู่กับตัวเขาตลอดเวลาจนไปที่ไหนก็มีคนรังเกียจ หวาดกลัว มีเพียงผู้ได้คุยกับเขาจริงๆ เท่านั้นถึงจะรู้ว่าตัวเขาไม่มีพิษมีภัยอะไร เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่บังเอิญถูกสาป

ในที่สุดเคียวโกะ ก็ตัดสินใจให้ยางิพักอยู่บ้านด้วยชั่วคราว เด็กสาวผู้รู้สึกแปลกแยกจากสังคมกับชายผู้ที่ถูกมองว่าเป็นปีศาจร้าย มิตรภาพง่ายๆ และงดงามเกินขึ้นภายในบ้านแบ่งเช่าแคบๆ


"เธอชวนยางิคุยบ้าง แต่แทบจะเป็นการถามคำตอบมากกว่า ดูท่าชายหนุ่มไม่ถนัดพูดตลกหรือสร้างเสียงหัวเราะให้คู่สนทนา ทว่าวิธีการพูดจาพาซื่อไร้เสแสร้งมารยา กลับทำให้เคียวโกะผ่อนคลาย ไม่ตื่นเกร็งเหมือนเวลาต้องร่วมวงสนทนากับพวกอาคิยามะ"

- "กลลวงเทพจิ้งจอก" หน้า 117


ยางิอาศัยอยู่จนกระทั่งเขารู้สึกว่าควรจะได้ทำงานตอบแทน อย่างน้อยก็ได้จ่ายค่าเช่าในฐานะผู้พักอาศัยในบ้านเดียวกับเธอบ้าง แต่การที่ยางิต้องซ่อนด้านที่น่ารังเกียจของตนไว้ในผ้าพันแผลตลอดเวลาทำให้เขาหางานทำลำบาก โดยเฉพาะงานที่ต้องพบปะติดต่อกับผู้คน เคียวโกะจึงคิดจะฝากให้ยางิไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่มี อาคิยามะ เพื่อนพี่ชายเขาที่เป็นลูกชายเจ้าของโรงงาน

ยางิ ได้ทำงานจุกจิกต่างๆ ในโรงงานไม่ว่าจะเป็น ปัดกวาดเช็ดถู เคลื่อนย้ายของหนัก ถอดล้างชิ้นส่วนเครื่องจักร ฯลฯ มีความคิดของยางิในย่อหน้าหนึ่งของหนังสือที่น่าสนใจมาก

"ช่วงแรกผมสนุกกับงานมาก การได้รวมกลุ่มกับคนงานจำนวนมหาศาล ชวนให้รู้สึกคล้ายร่างกายเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งในเครื่องจักรขนาดใหญ่ ไม่มีปัจเจกแห่งตน ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียกขาน หากเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา คงไม่มีใครปรารถนาจะลิ้มรสความรู้สึกเปล่าดายไร้ตัวตนเช่นนี้ ทว่าผมกลับสัมผัสได้ถึงความสงบร่มเย็น ขอเพียงได้กลืนไปกับคนหมู่มาก ผมก็พึงพอใจเหลือเกินแล้ว"

- กลลวงเทพจิ้งจอก (จำไม่ได้แล้วว่าหน้าอะไร)


ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวของยางินัก (ผมเป็นปัจเจกนิยมนั่นแหละครับ) แต่อย่างน้อยผมก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดคนอย่างยางิถึงรู้สึกเช่นนี้ เขาบอกว่าเขารู้สึกมีความสุขกับการทำงาน กับการได้กลืนตัวเองเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับฟันเฟืองขนาดใหญ่  การที่มีเพื่อนร่วมงานชื่นชมเขาเวลาทำงานหนัก ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากหุบเหวของความสิ้นหวัง ได้รับ "ชีวิตธรรมดาสามัญ" กลับคืนมา

แต่สุดท้ายแล้วมนุษย์ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเศร้า เรื่องราวที่ดูเหมือนกำลังจะดำเนินไปด้วยดี กลับมีบางอย่างมาทำให้ภาพฝันพังทลายลง ทำให้เคียวโกะ และยางิ ต้องเหินห่างจากกัน จนกระทั่งถึงตอนจบที่ชวนบีบคั้นหัวใจ


หนังสือ "กลลวงเทพจิ้งจอก" รวมเรื่อง 2 โทนไว้ด้วยกันคือเรื่องแรกที่ออกโทนตลก กับเรื่องหลังที่ออกโทนเศร้าสะเทือนใจ ทำให้เหมือนได้ทานอาหารที่รสชาติตัดกัน แม้จะชอบทั้ง 2 เป็นการส่วนตัว แต่ก็คิดว่าเรื่องในชุด "คลื่นถี่ความเหงา" อ่านสนุกและสะกดอารมณ์มากกว่าอยู่ดี

เรื่องราวเหงาๆ เศร้าๆ ของโอตสิ อิจิ ไม่เท่ ไม่แนว แต่มันน่าประทับใจและชวนให้รู้สึกเข้าถึงมันจริงๆ มากกว่าความเหงาประดิษฐ์ในยุคสมัยที่ทุกอย่างต้องเท่หลายเท่าตัวนัก

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

[News] ตารางการฉายภาพยนตร์ประจำเดือน พ.ค. โครงการ filmSPACE l Chiangmai Art Film

โครงการ filmSPACE l Chiangmai Art Film

จัดโดย สาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โครงการเทศกาลภาพยนตร์ที่จัดฉายทุกวันเสาร์ เวลา 19.00 - 22.30 โดยประมาณ ณ อาคารเรียน Media Art Design หอศิลปะวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนน นิมมานเหมินทร์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 053-944846
e-mail : info@SPACEcm.org


รายการภาพยนตร์ประจำเดือนพฤษภาคม 2554
The Mouth of Black Comedy

วันเสาร์ที่ 21 Being John Makovich - 1999 Spike Jonze


     ศิลปินเชิดหุ่นผู้ตกอันดับในทุกๆ ด้าน  ทั้งการงานและชีวิตส่วนตัว "เคร็ก ชวาร์ตซ์" แต่เขาก็มีภรรยาที่น่ารัก (?) แม้จะดูเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายทั้งโลกไม่ชายตามองเลยก็เถอะ แล้ววันหนึ่ง โชคชะตาก็เล่นตลกให้เขาสามารถค้นพบทางเข้าสู่สมองของดาราดัง จากนั้นก็มีเพื่อนจอมป่วนมาเพิ่มความโกลาหล เรื่องราวพิลึกพิลั่นจึงเริ่มต้นขึ้น


วันเสาร์ที่ 28 Choke - 2008 Clark Gregg


     นักศึกษาแพทย์ติดเซ็กส์ (!) ที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน แต่ดัน้องมาดูแลแม่ที่ป่วยเป็นโรอัลไซเมอร์แล้วดันมาตกหลุมรักกับพยาบาลสาว เจ้ากรรมที่โรงพยาบาลนี้ดันมีผู้หญิงให้เขาชวนจินตนาการ (อย่างเดียวหรือเปล่า ?) เยอะเหลือเกิน

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

[Culture] เรยา...หนูไม่ผิด



                
โดย Pimmy Tailandesa


                 สมัยนี้อะไร ๆ ก็เรยา!

                 สาวก (นิยามของคำนี้คือ ผู้ที่ไม่ค่อยยอมรับตนเองว่าติดละครเรื่องดอกส้มสีทอง แต่เมื่อพักโฆษณาทีไร ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำ รีบทำธุระส่วนตัว เพราะตอนละครมาจะได้ไม่พลาดช็อตเด็ด) ยังตามล่าหากระเป๋าแบบเรยา ตุ้มหู chanel แบบเรยา, เดรสแบบเรยา, ฯลฯ แบบเรยา มาเสริมบารมี เพราะหวังเล็ก ๆ ด้วยกลีบหัวใจด้านซ้ายมุมลึกทแยงขวาว่า “จะเริ่ดเหมือนเรยา” ทำให้วงการแฟชั่นเมืองไทยคึกคัก ตามตลาดนัดแขวนรูปอารยา เอฮาเก็ต เยอะยิ่งกว่าประดิษฐานกุมารและนางกวักประจำร้าน อะไรที่ว่าเหมือนเรยาล่ะขายหมดเกลี้ยง


                ส่วนตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ย่านสยามหรือพารากอน ก็มีรูปเธอผู้นี้ประกบเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ที่ราคาแพงหูฉี่ ประหนึ่งจะบอกว่า จ่ายแพงแต่ไม่พลาด แม้จะเกิดมาหน้าตาเหมือนโคถึก ทว่าหากสวมอาภรณ์แบบเดียวกัน ย่อมสวยเหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย


                เรยา วงศ์เศวต ไม่ได้แรงแล้วสร้างกระแสให้วงการแฟชั่นเท่านั้น


                ทว่า ความแรงของบทบาทยังไปเตะตากระทรวงวัฒนธรรม จนเกือบโดนแบนอยู่รอมร่อ ด้วยพฤติกรรม “เริงสวาทอันไม่เหมาะสมแก่สังคมไทย” เพราะความห่วงใยหัวใจของผู้เสพย์สื่อ หลายฝ่ายจึงวิพากษ์ความเหมาะสมเพื่อระงับการแพร่ภาพ จากคนไม่เคยดู ยิ่งอยากดูไปกันใหญ่ ว่าละครอะไรแรงจัง ขนาดกระทรวงฯ ต้องมาจับตาเพื่อเขี่ยออกจากจอแก้ว  กลายเป็นกระแสปลุกพรบ. สื่อ ว่าด้วยสิทธิของผู้ชมและการจัดเรทรายการโทรทัศน์ให้คืนชีพ


                คราวนี้ละ ดังไปกันใหญ่ โดยสามารถคาดการณ์คร่าว ๆ ได้ว่า เรทติ้งต้องพุ่งเบา ๆ อย่างแน่นอน เพราะมีทั้งแฟนละครพันธุ์แท้ (ที่เลือกชมด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่) กระทั่งคนที่อาสาเป็นแฟนด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “ละครแรงอย่างไรจนเกือบถูกแบน”


                พฤติกรรม ของนางเอกในละคร อย่างเอาตัวเข้าแลกเพื่อผลประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เงิน สถานะทางสังคม ความสะดวกสบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต เช่น การหลอกผู้ชายให้เลี้ยงข้าว, การสู้ไม่ถอยเพื่อแย่งผู้ชายจากบรรดาภรรยาประเภทเผ็ดร้อนและเรียบร้อย, รวมถึงการเปลี่ยนคู่นอนด้วยเหตุผลนานาประการ เป็นต้น


                หากพิจารณาอีกมุมนอกจาก “กรี๊ด นังเรยามันเป็นตัวที่หัวมีนอ” ก็จะพบว่า เรยามีพฤติกรรมแบบนั้นเพราะการเติบโตในสังคมปัจจุบัน...............(งงล่ะ สิ อ่านต่อไปนะ)


                ปัจจุบัน ระบบทุนนิยมแพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งหัวใจของของระบบนี้ คือ ‘Choose and shop’ ฉะนั้น การที่ เรยาเปลี่ยนคู่นอนตลอดเพื่อเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแก่ตนเอง ก็ตรงกับคอนเซปต์ทุนนิยมพื้นฐานว่าด้วย ผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่เหมาะที่สุดซึ่งสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง ดัง นั้นการเลือกจะอยู่กับคนที่รวย ๆ มันเป็นการเลือก และการมีเซ็กซ์เปรียบได้กับการซื้อผลิตภัณฑ์มาบริโภค เพื่อสนองตอบวัตถุประสงค์ของผู้ใช้


                ทั้งนี้ ไม่ได้เปรียบเธอเป็นสินค้า แต่เธอเป็นผู้ซื้อ โดยนำร่างกายและหน้าตาสวยสด (ที่ถูกสเป็กหนุ่ม ๆ ทุกคนในเรื่อง) มาเป็นทุนเพื่อแลกเปลี่ยนในตลาด จากนั้นเธอได้สินค้าขึ้นเตียงพร้อมฟังชั่นนานาประการ เช่น เงินยี่สิบล้านจากเด่นจันทร์ ตำแหน่งพนักงานบริการบนเครื่องบิน ซึ่งแลกมาจากการนอนกับ CEO ของสายการบินหนึ่ง บ้านเมืองนอกที่คุณใหญ่ซื้อให้ ล้วนเป็น “ผลประโยชน์” จากการลงทุนด้วยร่างกายของเธอทั้งสิ้น อาจเพราะการโตในระบบทุนนิยม ทำให้เธอเลือกที่จะเอาตัวเข้าแลกเพื่อขยับสถานะทางสังคม....กระมัง?!?


                แอบเถียงในใจหรือเปล่าว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้ และอีหนูนี่เลือกที่จะ “เลว” แหม...ไปพูดงี้ใส่ Jean-Jacques Rousseau (ฌอง ชาร์ค รุสโซ) นักปรัชญาผู้โด่งดังชาวสวิสฯ ที่เขียนเรื่อง Social Contract (สัญญาประชาคม) เขาคงโกธรแย่ เพราะท่านว่าไว้ "men are born free but everywhere in chain" (มนุษย์เกิดอย่างอิสระภายใต้เงื่อนไขทางสังคม) ดังนั้น จะให้เรยาอยู่อย่างไร้สถานะทางสังคม (Social Status) คงไม่ได้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม อย่างที่รุสโซบอกอีกว่า "Man is social animal" ดังนั้นเธอต้องแคร์ และต้องการทำให้ใคร ๆ ยอมรับเป็นธรรมดา


                ข้อสรุปดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ขนาดนักทฤษฎีอย่าง Abraham Maslow (อับราฮัม มาสโลว์) อธิบายใน Hierarchy of Needs Theory (ลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์) ว่า มนุษย์ผลักดันตัวเองด้วยความต้องการ ซึ่งแบ่งเป็นห้าขั้น และขั้นการต้องการความรักและการยอมรับจากคนรอบข้าง (ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร แม้แย่งสามีชาวบ้านเพื่อเอาเงินช็อปกระเป๋าหรู ให้คนอื่นยอมรับในความมั่งมี หรือการเอาตัวเข้าแลกตำแหน่งแอร์โฮสเตส ซึ่งถือเป็นอาชีพที่คนทั่วไปยอมรับก็ตาม) คือ ขั้นที่สาม เรียกว่า Belongingness and Love needs (ความต้องการความรักและการยอมรับ) เพื่อก้าวไปสู่ขั้นต่อไป ซึ่งหากบรรลุหมดทุกขั้น ก็สามารถประกาศก้องทั่วยุทธภพได้ว่า ชีวิตถูกเติมเต็มอย่างไม่เสียชาติเกิดแล้ว...ดังนั้น ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เรยาเกิดเป็นคน เพราะถ้าเกิดเป็นหนอนชาเขียวคงไม่อยากเอาตัวเข้าแลกเพื่อเป็นแอร์ฯ แต่คงอยากเอาตัวเข้าแลกเพื่อใบชามากกว่า ><


                บ้าง ก็ว่า เรยา ผิดปรกติทางจิตชอบล่าคนมีเจ้าของ แต่ดูคำที่เธอใช้เรียกแฟนที่มีอายุมากกว่าส่วนใหญ่ว่า “พ่อ” ทำให้คิดว่า เธออยากเติมเต็มส่วนที่ขาดมากกว่า อย่างที่ Alfred Adler (อัลเฟรด แอทเลอร์) นักจิตวิทยามีชื่อชาวออสเตรีย เคยกล่าว (ประมาณ) ว่า การแสดงออกของพฤติกรรมบางอย่างถูกปฏิบัติเสมือนเป็นความพยายามเพื่อชดเชยความรู้สึกด้อยบางอย่างในวัยเด็ก ในที่นี้คือ “ความไม่มีพ่อ” ทั้ง นี้ พ่อของเธอต้องเป็นทั้งผู้ที่ให้เธอเกาะได้ทั้งทางทรัพย์สิน และการเกาะทางด้านภาวะอารมณ์ กล่าวคือ เป็นที่พึ่งเธอได้ทั้งเรื่องเงินและความรู้สึก ซึ่งผู้ชายที่มีภรรยาแล้วในละคร ตอบโจทย์เธอได้อย่างลงตัว “สุด ๆ เรยเอ๊าะ” แล้วจะว่าฟ้าบ้าได้ไงค่ะท่านผู้ชม


                พอจะเห็นไหมว่า เรยา ไม่ได้เลวแต่เกิด ชั่วจากสันดาน แต่การเติบโตที่นับว่าอยู่ในยุคปากกัด ตีนถีบทำให้เธอต้อง “อัพ” ตัวเอง ให้เป็นที่ยอมรับ หากมองอย่างยุติธรรม เธอมีฝันเหมือนคนส่วนใหญ่ที่อยากมีชีวิตดีกว่าพ่อแม่ของตนเอง ซึ่งเป็นยามและคนรับใช้ เธอจึงใช้ “ทุนต่อทุน” ด้วยการเอาตัวเองซึ่งเป็น 'ทุน' อย่างเดียวที่มี ประกอบเป็นบันไดเพื่อคว้าดาว


                แล้วอย่างงี้จะบอกว่าเธอร่าน บ้า เลว ได้ไงคับพี่น้อง!

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

[Life] "คำสารภาพ" ความรู้สึกนึกคิดของหญิงตั้งครรภ์

โดย กักขฬะสตรี



เดือนละครั้งที่ฉันจะต้องไปนั่งอยู่ในแหล่งซ่องสุมสตรีมีครรภ์
ทำอะไรเดิมๆ อย่าง ชั่งน้ำหนัก ตรวจฉี่ วัดความดัน เข้าห้องตรวจ


วันแรกที่เข้าไป ท้องฉันยังไม่ใหญ่โตโอฬารนัก ภาพที่เห็นทำเอาตื่นตาตื่นใจไม่น้อย กับขนาดท้องที่โตมากโตน้อยเดินกันให้ว่อน

ชุดคลุมท้องมีหลากหลายสไตล์ บางชุดสวยหวาน บางชุดราวกับชุดนอน บางชุดก็เปรี้ยวจนเข็ดฟัน
อย่างกับแคทวอล์กสตรีมีครรภ์ ขาดเพียงแต่เพลงประกอบ

ผ่านไปเจ็ดเดือน สิ่งเหล่านี้เรื่มซ้ำซาก
ตอนนี้ ฉันจึงจมอยู่กับหนังสือเล่มโตที่ติดไปด้วยเสมอระหว่างรอเรียกคิว
พลางนึกย้อนกลับไปในวันเวลาที่ท้องฉันไม่มีสิ่งมีชีวิตดิ้นขลุกขลักเหมือนตอนนี้

.................................................................



กล่าวด้วยความสัตย์...ฉันไม่เคยคิดจะมีลูก
ครั้งหนึ่งฉันเคยลั่นวาจาไว้ว่าชาตินี้จะไม่มีลูกเด็ดขาด
สหายหลายคนเยาะหยันว่าไม่มีทาง แต่ฉันก็ยังยืนยันเช่นนั้น
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'ลูก' คืออะไร ไม่เคยปรากฏอยู่ในจินตนาการแม้เพียงเศษเสี้ยว
ใช่ว่าตัวเองจะเกลียดเด็ก...ฉันแค่ไม่ชอบเด็กบางประเภทและเสือกเป็นคนขี้รำคาญ


เอาง่ายๆ ฉันเคยขัดขาเด็กที่ใส่รองเท้าติดล้อวิ่งเล่นในห้างจนชนคนเขาไปทั่ว แต่พ่อแม่ก็ยังยืนเฉย จนเด็กนั่นล้มหัวทิ่ม

ตอนเด็กๆ ฉันยืนนิ่งอยู่ข้างแม่ที่ยืนเฉยปล่อยให้น้องชายร้องไห้แหกปากลั่นห้างเพราะ จะเอาของเล่นราคาแพง น้องร้องจนเหนื่อย แล้วจึงยอมจำนนต่อความนิ่งของแม่และพี่สาวจนต้องลุกขึ้นแล้วเดินตามต้อยๆ กลับบ้าน

หรือกระทั่งหลานชายที่เที่ยวไล่แสดงศักดาความคมของฟัน กัดญาติไปทั่วจนเขาได้แผลกันถ้วนหน้า พอจะมากัดฉันถึงได้เจอฤทธิ์มือตบจนหน้าคว่ำแถมด้วยศอกกลับจนปากช้ำไปหลายวัน

แล้วอย่างนี้ ใครจะกล้าจินตนาการว่าฉันจะมีลูกได้ล่ะ ขนาดตัวฉันยังไม่คิดเลยด้วยซ้ำ



ให้ตายเถอะ  ฉันหวาดผวากับเด็กๆ ในฉากประกวดเต้นจากหนังเรื่อง Little miss sunshine มาก รวมถึงเวลาเปิดทีวีแล้วเจอรายการเกมส์โชว์ ประกวดร้องเพลง ฯลฯ
เล่นเอาถอนหายใจไปหลายเฮือก
และขณะที่ฉันกราดเกรี้ยวกับทัศนคติทุเรศทุรังในสังคมอยู่บ่อยครั้ง
ฉันก็กังวลว่าจะเลี้ยงเขาอย่างไรให้ได้ชื่อว่าไม่ได้เพาะบ่มอาชญากร
กังวลไปต่างๆ นานา จนได้ผลสรุปว่า อย่ามีลูกเลยดีกว่าว่ะ


แต่เมื่อขีดที่สองค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนที่ตรวจครรภ์
ใครจะรู้ วันดีคืนดีพระเจ้าก็ล้อเล่นกับเราเอาดื้อๆ ได้เหมือนกัน

..............................................................



ทุกๆ เช้า จะมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในท้อง
ฉันรับรู้และตีความได้ว่า เด็กคนหนึ่งกำลังพลิกตัว
จะขยับตัวแต่ละครั้ง ลำบากและเจ็บปวดมาก ถ้าทำได้ก็อยากจะนอนเฉยๆ อย่างเดียว
เดินเหินแต่ละครั้ง ความเร็วลดลงกว่าแต่ก่อนไปหลายต่อหลายเท่า
อาการทั้งเมื่อยและเจ็บโผล่มาให้โอดโอยได้ทุกวัน
ฉันเบื่อเวลาใครพูดว่า สัญชาติญาณความเป็นแม่จะช่วยเราเอง
...กูเจ็บ ก็คือกูเจ็บ...
ฉันไม่ซาบซึ้ง น้ำตาไหลเหมือนโฆษณานมแม่ใดๆ ทั้งสิ้น
แต่พอเกิดความเงียบติดต่อกันนานเข้า กลายเป็นตัวฉันเองที่หวาดวิตก
ต้องคอยเคาะท้องให้เกิดความเคลื่อนไหว
เสร็จแล้วก็นั่งโล่งใจ กลับมาทนและบ่นกับความเจ็บกันต่อ


หลายเดือนก่อนหน้านี้
ฉันวิตกถึงสภาพตอนท้องแก่
แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนอายุครรภ์แตะเจ็ดเดือนกว่าๆ
เรื่องวิตกของฉันคือวินาทีที่คลอดและกำลังจะคลอด


ฉันคงไม่พูดว่ามันเป็นความซาบซึ้งของการที่กำลังจะได้สัมผัสสถานะการเป็นแม่
แต่คงเป็นสภาวะที่เราเป็นห่วงความปลอดภัยของอีกสิ่งมีชีวิต นอกจากตัวเอง



Photo by Agatha Katzensprung


วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

[เรื่องสั้น] 2017

โดย Porman X




ครั้งหนึ่งเมื่อเราถึงสภาวะที่กลัวที่สุด จนหัวใจเต้นหลุดออกมาจากหน้าอก จนเหงือผุดออกจากผิวเป็นเม็ดๆ จนมือสั่นสะท้าน จนปากอ้าเองโดยร่างกายไม่ได้สั่ง จนระบบความทรงจำล้มเหลว จนต่อมผลิตสสารผลิตมันอย่างผิดปกติ เมื่อนั้น.....




รูปจากภาพยนตร์เรื่อง The Blue Gardenia (1953)


มาการิตต้า คือชื่อโรงแรมในย่านนั้น มันเป็นตึกใหม่สภาพดี สร้างอยู่ในย่านสาธรเหนือ เป็นโรงแรมใหม่ที่แต่งสไตล์เก่า เธอคิดว่าเจ้าของน่าจะเป็นคนที่ชอบความเป็นสเปน โดยดูจากการแต่งโรงแรม และชื่อมาการิตต้า

ครั้งแรกที่สาววัยยี่สิบต้นๆแบบเธอได้เข้ามาในโรงแรมนั้น เธอมาพร้อมแขกมาเลเซีย ใครว่าคนไทยกินข้าวแกงบ้ากาม เธอไม่เชื่อ เธอรู้เพราะเธอโดนมาสารพัด ทั้งเต็มใจและถูกบังคับ ใบหน้าและร่างกายเธอมีแต่รอยความทรงจำจากเรื่องบนเตียงทั้งรอยที่เกิดจากความสุข ทั้งรอยที่เกิดจากความทุกข์เหลือคณา แต่ที่ทนอยู่ได้เพราะไอ้พวกเจ็กมาเลฯ มันจ่ายหนักพอให้เธอได้ใช้ชีวิตไปตามประสาเด็กสาวจากบ้านบนดอยไตแลงรัฐฉาน เธอไม่เคยสนใจการปฎิวัติหรือความรุนแรงในสนามรบใดๆ หลังจากปีที่แล้วพ่อแม่พี่น้องและท่านผู้นำรัฐปลดปล่อยไทใหญ่ต้องพ่ายให้กับรัฐทหารจากพม่าที่นับวันยิ่งแข็งเกร่ง

ภาษาไทยของเธอดีพอสมควร เธอมีบัตรประชาชนไทยแลนด์เหนือ เป็นสมาชิคคลับการ์ด และ ไปจับจ่ายซื้อของที่สยามพาราก้อน น็อดไทยแลนด์เซ็นเตอร์ได้อย่างสบายทุกสัปดาห์





เธอเดินลงมาถึงเค้าเตอร์ เคาะนิ้ว มองหาพนักงานประจำ..

เหมือนกับฉากเปิดตัวในหนังป็อบคอร์นอเมริกา เขาค่อยๆ โน้มตัวขึ้นมาจากฉากบังตา หน้าตายิ้มแย้มจนมองเห็นแคมตาเป็นรูปเรือคว่ำ ดังใส่หน้ากากของวี (V for Vendetta) ตลอดเวลา ต่างกันที่เขาไม่มีหนวดจิ๋ม

"ซินญอริต้า... มีอะไรให้ข้ากรุณาได้รับใช้" เขายิ้ม... ยิ้ม

"แขกของฉันเมื่อวาน หายไปไหน" คำพูดปราศจากสำเนียงไทใหญ่จากรัฐฉาน

เขาซ้อนการคำนวณ ความทรงจำภายในหัว ด้วยใบหน้ายิ้มนิ่งๆ ไม่ขยับแม้ดวงตา แต่สิ่งที่บอกว่าเขานึกคือความนิ่ง

"กระผมเสียใจ" เขายังยิ้มทั้งพูด "กระผมไม่ทราบ เลดี้จะกรุณาให้ผมเช็คจากโฮเทลอายส์ไหม?"

"อืม" เธอตอบสั้นๆ





เขาใช้เวลากว่าสิบนาที นั่งยิ้มใส่แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์โรงแรม เธอนั่งไขว่ห้างรอตรงเก้าอี้ข้างต้นไม้เทียมโดยไม่สนใจหนังสือพิมพ์นาโน สิ่งประดิษฐ์ฮ็อตฮิตแห่งปี

ช่วงนี้กรุงเทพหิมะตกบ่อยมาก เธอแอบลอยกลับไปบ้านที่รัฐฉาน สมน้ำหน้าพ่อกับแม่ในใจที่ไม่ยอมย้ายไปไหนหลังจากเกิดการรั่วไหลของปฎิกรจาก ประเทศในโซนเหนือ เธอไม่รู้ว่าโลกนี้เกิดอะไรขึ้นในปีที่แล้ว แต่รู้ว่าทุกคนยิ้มให้กันน้อยลง คุยกันน้อยลง แย่งอาหารกันมากขึ้น อาวุธหาง่ายขึ้น ฆ่ากันมากขึ้น แต่ที่สุดแล้วพวกเจ็คจากมาเลก็ยังกระหายกามเท่าเดิม เมื่อคืนเธอมากับแขกมือหนัก หลังจากตกลงค่าตัวกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว แขกบังคับเธอทำตามหนังจากกลุ่มลัทธิอะไรสักอย่าง จนเมื่อเช้าเธอพบว่าลูกค้าของเธอได้จากไปพร้อมกับกระเป๋าเงินของเธอ ปกติเธอเป็นคนระวังตัวมากกว่านี้ อาจเพราะฤทธิ์ยาที่เธอกินเข้าไปก่อนมาที่นี่ก็เป็นได้





"ซินญอริต้า" เค้าพูด ใบหน้ายังยิ้ม "เขาผ่านตรงนี้ไปเมื่อ แปดโมงเช้าครับ เขาลงมาทานอาหารเช้าก่อนไปด้วยครับ"

"ชั้น..." เธอมีโมโหแต่พูดไม่ออก

"ซินญอริต้า  คุณจะกรุณามาตรงนี้นิดได้ไหมครับ" เค้าเตอร์บอยถาม

"อะไรอีกล่ะ" เธอตอบอย่างหัวเสีย

"ผมได้ยินมาว่าคุณไม่ใช่คนไทยแลนด์เหนือ"

"อะไร" เธอโวยวาย

"ผมมีหลักฐานว่า คุณเป็นคนที่ฆ่าแขกที่คุณเอามามีอะไรด้วยที่นี่"

"นี่  มึง..พูดเรื่องอะไร"เธอล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง


เธอล้มลงที่พื้นหน้าเค้าเตอร์เมื่อไรก็ไม่รู้ เธอรู้สึกราวกับโลกถล่มลงมาทับเธอ เมื่อสติเริ่มคืนมาเธอจึงรู้ว่าเธอโดนเข็มไฟฟ้าเสียแล้ว เขาเดินออกมายืนเกือบคล่อมหัวเธอ พร้อมฉีกยิ้มท่าถนัด


"คนที่นอนกับเธอเมื่อคืนคือคนของโรงแรมนี้ล่ะ ซินญอริต้า"


ครั้งหนึ่งเมื่อเราถึงสภาวะที่กลัวที่สุด จนหัวใจเต้นหลุดออกมาจากหน้าอก จนเหงือผุดออกจากผิวเป็นเม็ดๆ จนมือสั่นสะท้าน จนปากอ้าเองโดยร่างกายไม่ได้สั่ง จนระบบความทรงจำล้มเหลว จนต่อมผลิตสสารผลิตมันอย่างผิดปกติ เมื่อนั้น.....


.
.
.
.
.
.
.
.
ใบหน้าสวยงามของเธอ ถูกทำให้สันจมูกหักงุ้ม

วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554

[Anime] Myself; Yourself - เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย ?



โดย  Konayuki




เมื่อช่วงวันหยุดสงกรานต์ปีที่แล้วท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุกว่าปีนี้ ตอนนั้นผู้เขียนหาการ์ตูนอนิเมะคลายร้อนในบรรยากาศที่รอบข้างจอแจด้วยการเฉลิมฉลองและการละเล่นตามเทศกาลปีใหม่ไทย แล้วก็ได้พบกับอนิเมะเรื่องที่ทำให้ภาพวัยเยาว์ของผู้ชมหลายคนกลับมาโลดแล่นอีกครั้งหลังจากที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ (แล้ว) ...

"Myself; Yourself" เป็นเรื่องราวของ Sana Hidaka เด็กหนุ่ม ม.ปลายที่ต้องย้ายโรงเรียนกลับมา ใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่บ้านเกิด โดยมี Aoi Oribe เพื่อนสาวข้างบ้านสมัยเด็กช่วยดูแลในช่วงแรกที่ย้ายกลับมา เขาได้พบกับ Shusuke Wakatsuki และ Shuri Wakatsuki เพื่อนสนิทฝาแฝดวัยเด็กที่พอโตขึ้นมาแล้วต่างกันดั่งกับฟ้ากับเหว (ทั้งนิสัยและหน้าตา) แต่ในกลุ่มเพื่อนของเขานั้นเขากลับจำ Nanaka Yatsushiro เพื่อนสนิทในกลุ่มอีกคนหนึ่งไม่ได้ วันแรกที่พบกับ Nanaka จึงถูกเธอตบหน้าฉาดใหญ่เพราะดันไปถามว่าเธอเป็นใคร จนพระเอกเสียศูนย์ไปเลยทีเดียว


(ตัวละครจากซ้ายไปขวา : Nanaka, Shuri, Sana, Shusuke, Hinako, Aoi)

แม้ชีวิตในโรงเรียนใหม่จะดำเนินไปได้ด้วยดีทั้งกับกลุ่มเพื่อนเก่า และมีเพื่อนใหม่อย่าง Asami Hoshino นักกิจกรรมที่มักสร้างความเข้าใจผิดแก่ Nanaka ว่าชอบพอกันกับ Sana (และสาวเจ้า Nanaka ก็ยิ่งงอน Sana มากขึ้นไปอีก) แต่ Sana ยังติดค้าคาใจกับ Nanaka ที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน และเธอยังทำตัวเย็นชากับเขาอยู่เสมอ  Sana พยายามทำความสนิทสนมกับเธอทีละเล็กละน้อย บางครั้งก็ทำให้เธอเศร้าและโกรธเขาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเธอก็เปิดใจยอมรับเขาทีละน้อย แต่ Nanaka ก็ยังไม่กลับไปเล่นไวโอลินและไม่ได้แต่งเพลงให้กับ Sana ต่อ ทั้งที่เธอเคยสัญญาว่าจะแต่งให้จบเมื่อพบกันอีกครั้ง เพื่อเป็นของขวัญอำลาตอนประถมแก่เขา

แต่เมื่อ Sana สืบค้นสาเหตุที่ทำให้ Nanaka เปลี่ยนไปเป็นคนที่เก็บตัวและมืดมน ก็ยิ่งพบกับความทุกข์ระทมของคนรอบข้างผู้เป็นที่รัก การที่คนในครอบครัวทรยศ การถูกเพื่อนหักหลัง รักข้างเดียวที่ไม่สมหวัง ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่คนนอกยากจะเข้าใจ และความเจ็บปวดข้างในหัวใจของ Sana ที่เขาเก็บซ่อนไว้ก่อนจะกลับมาบ้านเกิดเมืองนอน

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตวัยรุ่นของใครหลายคนคงเคยพานพบกับเรื่องราวที่ปวดร้าวและยากจะลืมเลือน แต่ในช่วงเวลานั้นเองก็มีคนที่ให้กำลังใจและคอยช่วยเหลือด้วยเช่นกัน ไม่มีใครที่ไม่เคยมีบาดแผล แต่บางครั้งการเยียวยาผู้อื่นก็เหมือนกับได้เยียวยาตัวเองไปด้วย Myself; Yourself อาจจะเหมาะกับผู้ชมที่มีวิจารณญาณระดับหนึ่ง ไม่ใช่เพราะมีฉากที่ใช้ความรุนแรง แต่เนื้อหาที่เป็น "สีเทา" นั้น สะท้อนชีวิตวัยรุ่นปัจจุบันที่ผู้ใหญ่บางคนอาจตัดสินการกระทำของเขาด้วยความไม่เข้าใจหรือตามกระแสสังคม หากผู้ชมที่ยังเป็นเยาวชนชมอนิเมะเรื่องนี้แล้วละก็ ผู้เขียนอยากให้แนะนำผู้ใหญ่ที่บ้านชมด้วยแล้วพูดคุยกัน คงน่าจะสนุกไม่น้อย  

หาก Opening Theme (Tears Infection โดย KAORI) ทำให้หลายคนคิดว่าเนื้อหาคงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักดนตรี อย่างเช่น Nodame Cantabile (วุ่นรักนักดนตรี)  แต่จะกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับดนตรีเลยก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว อย่างไรก็ตาม Myself; Yourself ก็เป็นอนิเมะเรื่องหนึ่งที่เพลงประกอบไพเราะดีอีกเรื่องหนึ่ง โดยเนื้อหาทั้งหมดมีอยู่ 13 ตอน ออกอากาศในปี 2007 กำกับโดย Yasuhiro Kuroda ออกแบบตัวละครโดย Mutsumi Sasaki (คนเดียวกับเรื่อง Memories Off) สตูดิโอ Dogakobo นอกจากอนิเมะแล้ว เรื่องนี้ยังนำมาสร้างเป็นเกม (PS2) และ Light Novel อีกด้วย  










เวลาได้กลับไปเจอเพื่อนเก่า แม้การสนทนาที่ลื่นไหลมักจะเป็นเรื่องราวในวัยเยาว์ แต่ไม่ควรหลงลืมไปแช่แข็งอดีตจนลืมรับฟังเรื่องราวของเขาในปัจจุบัน เพราะอาจจะกลายเป็นว่าต้องทำความรู้จักกันใหม่ก็ได้ แต่สำหรับคนที่เป็นเพื่อนกันแล้ว ไม่ว่าจะเวลาเปลี่ยนไป ก็คงจะรู้สึกอยากบอกว่า "ยินดีที่ได้รู้จัก" กับเพื่อนคนนี้อยู่เสมอ